ไม่เคยห่างหายจากกระแสเลย สำหรับสาว ๆ วง PiXXiE มาเบล – สุชาดา สอนพันธ์, พิมมา – พิมพ์มาดา ใจสักเสริญ และ อิงโกะ – อินท์ปาลี โชติหิรัญธนนนท์ ที่แม้ว่าซิงเกิลล่าสุดอย่าง FEAT จะปล่อยออกมาเมื่อ 2 เดือนก่อน แต่ก็ทำให้เกิดกระแส ‘ควงผ้า’ ตามกันทั่วบ้านทั่วเมืองจนถึงทุกวันนี้ และก่อนที่แฟน ๆ จะได้ไปควงผ้าพร้อม ๆ กันในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกของพวกเธอ ทั้งสามสาวก็ขอหยิบประสบการณ์ตรงของตัวเองมากลั่นกรองเป็นเพลงช้า ๆ ซึ้ง ๆ สำหรับคนมีฝันและคนที่กำลังต้องการกำลังใจ กับซิงเกิลล่าสุดอย่าง Aftercry
“ถ้าความฝันที่ไขว่คว้ามาตลอดชีวิตอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ต้องแลกมาด้วยความผิดหวัง ความเหงา และน้ำตา คุณจะยอมแลกกับมันไหม?”
Aftercry เป็นผลงานการโปรดิวซ์ของ ฮาย – ธันวา เกตุสุวรรณ ศิลปินเบื้องหน้าและโปรดิวเซอร์ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของศิลปินมาแล้วมากมาย เคยทำงานกับ PiXXiE มาตั้งแต่ซิงเกิล เด็ด, มูเตลู และเกินต้าน รวมถึงเคยร่วมงานกับศิลปินในค่าย LIT Entertainment มาหลายครั้งแล้วด้วย
ด้านเนื้อร้องเป็นฝีมือของผู้บริหารค่ายทั้งสองอย่าง มุก – นิตา ชวลิต และ โดม – จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม ที่ก่อนหน้านี้ก็รับหน้าที่ดูแลผล งานของศิลปินในค่ายอย่างใกล้ชิด ทั้งเขียนเนื้อร้อง คุมอัดเสียง และดูแลขั้นตอนการทำเพลงทั้งหมดด้วย ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของ มุก กับน้อง ๆ ในสังกัด ก็เช่น เกินต้าน, ไม่ได้ก็ไม่เอา, ติดฝน, ฉันจะฉาปเธอ, ใครเพื่อนแก, พลั้ง และจังหวะตกหลุมรัก เป็นต้น
ในขั้นตอนการอาร์เรนจ์นั้น โปรดิวเซอร์ฮายก็ได้ดึงตัวเพื่อนร่วมวง Paper Planes เซน – นครินทร์ ขุนภักดี มาร่วมดูแลด้วย ถือเป็นดรีมทีมที่ช่วยให้เรื่องราวใกล้หัวใจที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของสมาชิกวงได้ถูกร้อยเรียงออกมาอย่างซื่อตรงต่อความรู้สึกและทรงพลังอย่างที่สุด
มาเบล พูดถึงเรื่องราวของตัวเองที่เป็นแรงบันดาลใจของ Aftercry ไว้ว่า “หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ เป็นคนจันทบุรี ก่อนจะมาเป็นศิลปินเคยขอแม่มาเรียนกรุงเทพฯ แล้ว แต่แม่ไม่ให้มา พอถึงวันที่ต้องเข้ามาและได้เข้ามาจริง ๆ หนูก็กลัวทุกอย่างเลย ขึ้นรถขึ้นอะไรไม่เป็น ต้องโทรหาแม่ตลอด การมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียวคือต้องแยกกับแม่ ไม่ได้เจอหน้า เวลาจะคุยกันก็ลดลงไป บางทีหนูก็ยุ่ง ๆ คือหนูชอบร้องเพลงนะคะ แต่การมาทำในสิ่งที่หนูรักก็ทำให้ต้องเปลี่ยนตัวเองหลายอย่างมาก ๆ จริง ๆ หนูกลัวที่จะออกจากเซฟโซน กลัวที่ต้องออกจากพื้นที่ปลอดภัยโดยไม่มีแม่อยู่ใกล้ ๆ น่ะค่ะ”
ด้าน พิมมา ก็แชร์ประสบการณ์คล้ายกันในมุมของเด็กต่างจังหวัด แต่ในส่วนที่แตกต่างออกไปคือคำวิพากษ์วิจารณ์ที่เธอต้องก้าวข้าม เมื่อต้องมาไล่ตามความฝันในเส้นทางการเป็นไอดอล T-POP “หนูชอบเต้น ชอบแสดงออก มาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ แต่การจะมาเป็นศิลปินได้เป็นการเดินทางที่ไกลมาก หนูต้องพัฒนาตัวเองขึ้นเยอะมากจริง ๆ ส่วนหนึ่งเพราะมีคนเคยบอกว่าหนูร้องเพลงไม่เพราะด้วย จนมันเป็นปมในใจหนูมาตลอดเลยนะคะ ยิ่งพอมารวมวง ถ้าหนูไม่เก่ง คนอื่นก็จะมาว่าวงหนูได้ใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นหนูเลยต้องเก่งขึ้นให้ได้ ต้องผิดพลาดน้อยลงให้ได้ ต้องไม่ทำให้เพื่อน ๆ ในวงผิดหวัง”
ส่วนน้องเล็กอย่าง อิงโกะ แม้จะเติบโตที่กรุงเทพฯ ไม่ได้ไปไหนไกลบ้าน แต่ก็ฝันอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็ก ๆ ผ่านการไปออดิชันมาอย่างโชกโชน ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า “จริง ๆ ความผิดหวัง ความเหงา ความเศร้าทั้งหลายนี่ มันมีทั้งกับตอนที่ยังไล่ตามความฝันอยู่ และตอนที่ความฝันเป็นจริงแล้วเลยนะคะ หลายคนอาจจะคิดว่าการได้เป็นศิลปินแล้วหมายถึงเรา ‘สำเร็จ’ ไปอีกขั้นแล้วใช่ไหมคะ แต่หนูไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นนะ มันกลับหมายถึงว่าหนูต้องพยายามให้มากขึ้นไปอีก ทั้งเพื่อสู้กับคำพูดของคนที่ติ และเพื่อให้เก่งขึ้นไปอีกให้คนที่ชม คนที่รักหนู ยิ่งภูมิใจ ซึ่งชีวิตไอดอลนี่น้อยคนนักที่จะเข้าใจนะคะ ดีที่ในวงเราให้กำลังใจกันสม่ำเสมอ ไม่มีใครเข้าใจตัวเราเท่าพวกเรากันเองแล้วล่ะ”